
มิชาเอล บัลลัค (Michael Ballack) อดีตนักเตะสัญชาติเยอรมันผู้โด่งดัง เขาค้าแข้งอยู่ในวงการลูกหนังมากว่า 29 ปี และในทุกๆทีมที่เขาค้าแข้ง เขามักจะได้รับเสื้อหมายเลข 13 ใส่เสมอ ซึ่งเขาประกาศแขวนสตั๊ดไปเมื่อ เดือนตุลาคม ปี 2012 ขณะที่เขามีอายุได้ 36 ปี บัลลัค เกิดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 1978 ที่เมืองกอร์ลิตซ์ ประเทศเยอรมัน (ตะวันออก) เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวนักกีฬา มีคุณพ่อเป็นวิศวกร และเป็นอดีตนักฟุตบอลในลีกดิวิชั่น 3 ของเยอรมัน ส่วนคุณแม่เป็นอดีตนักกีฬาว่ายน้ำ
บัลลัค เป็นอดีตนักฟุตบอลที่สามารถทำประตูได้สูงสุดตลอดกาลของ ประเทศเยอรมัน เขาเป็นนักเตะที่มีฝีเท้าที่เฉียบคม แข็งแกร่งและเป็นนักเตะในตำแหน่งกองกลางที่มักจะทำประตูได้อยู่เสมอ และเขายังมีความเป็นผู้นำสูงจนได้เป็นกัปตันทีมในหลายๆโอกาส ซึ่งความเก่งกาจของเขานี้ ทำให้ในปี 2002 เปเล่ อดีตนักเตะชื่อดังระดับโลก ยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งในนักเตะยอดเยี่ยม นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัล นักฟุตบอลแห่งปีของประเทศเยอรมัน ถึง 3 สมัย (2002 , 2003 และ 2005) อีกด้วย
มิชาเอล บัลลัค กับเส้นทางลูกหนังแรกเริ่มของเขา
สโมสรเชมนิตเซอร์ (Chemnitzer)
บัลลัค เริ่มต้นเข้าสู่วงการลูกหนังจากทีมฟุตบอลของโรงเรียนมัธยมที่ชื่อว่า เชมนิซ (Chemniz) ก่อนที่ในปี 1983 ในขณะที่เขาอายุได้ 5 ขวบ เขาได้ไปเข้าร่วมกับทีมเยาวชนของสโมสรคาร์ล มาร์ซ สตั๊ดต์ (Karl-Marx-Stadt) ซึ่งในภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น สโมสรเชมนิตเซอร์ (Chemnitzer) โดยเขาฝึกทักษะอยู่ที่สโมสรแห่งนี้เป็นเวลานานกว่า 12 ปี โดยไม่ได้ย้ายไปยังทีมใดเลย

ต่อมาในปี 1995 ในขณะที่เขาอายุได้ 17 ปี ได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับ สโมสรเชมนิตเซอร์ แห่งนี้ และลงเล่นให้กับทีมสำรองของ เชมนิตเซอร์ ไป 1 ฤดูกาล ในลีกบุนเดสลีกา 2 โดยลงเล่นไปทั้งหมด 18 นัด และทำประตูไปได้ 3 ประตู ซึ่งเขาได้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในสมัยนั้นอย่างมาก ถึงแม้ว่าทีมจะตกชั้นไปในปีนั้นก็ตาม จนในปี 1996 เขาได้เข้ามาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ เชมนิตเซอร์ เขากลายเป็นนักเตะตัวหลักของทีมในทันที และยิงประตูได้เป็นครั้งแรก เมื่อเดือนตุลาคม ปี 1996 และในฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้กับทีมไปทั้งหมด 49 นัด และเขาทำประตูไปได้ถึง 10 ประตู แต่สุดท้ายเมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาล ต้นสังกัดของเขา ก็ไม่สามารถเลื่อนชั้นกลับไปได้ และในปีนี้เขายังติดทีมชาติเยอรมัน ในทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี (U-21) อีกด้วย

สโมสรไกเซอร์สเลาเทิร์น (Kaiserslautern)
ในปี 1997 ฤดูกาล 1997-98 จากฟอร์มที่ดุดันของเขา ทำให้ สโมสรไกเซอร์สเลาเทิร์น ซึ่งเพิ่งจะได้เลื่อนชั้นมาใน บุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของประเทศเยอรมัน คว้าตัวเขาไปร่วมทีม โดยเขาลงเล่นให้กับทีมเป็นครั้งแรกเมื่อ กันยายน ปี 1997 ในตำแหน่งตัวสำรองในนัดที่พบกับ สโมสรคาร์ลสรูห์ เอสซี และลงเป็นตัวจริงในเกมแรกเมื่อ เดือนมีนาคม ปี 1998 ในนัดที่พบกับ สโมสรเลเวอร์คูเซ่น ซึ่งในฤดูกาลนี้นี่เอง เขาเป็นส่วนหนึ่งในการพาทีมคว้า แชมป์บุนเดสลีกา ได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งที่ทีมเพิ่งจะได้เลื่อนชั้นมาจาก บุนเดสลีกา 2 ซึ่งตลอดเวลาการค้าแข้งที่นี่ เขาลงสนามไปทั้งหมด 46 นัด และทำประตูไปได้ 4 ประตูด้วยกัน และในช่วงเดือนเมษายน ปี 1999 เขาสามารถติดทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่อีกด้วย

สโมสรไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น (Bayer Leverkusen)
จากผลงานที่โดดเด่นของ บัลลัค ทำให้ในปี 1999 เขาได้รับการทาบทามจากสโมสรชั้นนำของ บุนเดสลีกา อย่าง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ให้เข้าร่วมทีม ด้วยค่าตัว 4.1 ล้านยูโร หรือประมาณ 140 ล้านบาท ในฤดูกาลแรกของเขาที่นี่ เขาก็เปิดตัวได้อย่างสวยงาม เนื่องจากเป็นส่วนที่พาทีมได้ตั๋วไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ
ในฤดูกาล 2000-01 ด้วยฟอร์มที่โดดเด่น และผลงานการทำประตูของเขาอย่างต่อเนื่องทำให้เขาถูกจับตามองอย่างมาก และได้ขึ้นแท่นเป็นนักเตะชั้นนำระดับโลก ด้วยวัยเพียง 22 ปีเท่านั้น

จนกระทั่งในฤดูกาล2001-02 เขาประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยได้รับตำแหน่ง กัปตันทีม และพาทีมเข้ารอบรองชนะเลิศในรายการสำคัญถึง 2 รายการ นั่นคือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ เดเอฟเบ โพคาล แต่ทว่าเขาก็พาทีมไปได้ไกลสุดแค่เพียง รองแชมป์ ทั้ง 2 รายการเท่านั้น และในปลายฤดูกาลก็พาทีมคว้า รองแชมป์บุนเดสลีกา อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ในศึกฟุตบอลโลก 2002 เขาพา ทีมชาติเยอรมัน เข้ารอบไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่เนื่องด้วยติดโทษแบน ทำให้ทีมขาดแข้งกำลังหลัก จนท้ายที่สุด เยอรมัน ก็พ่ายแพ้ให้กับ บราซิล และคว้า รองแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 มาได้อีก 1 รายการ ซึ่งเป็นที่มาของฉายา “พระรอง(แชมป์)” ของเขานั่นเอง

โดยในสโมสรแห่งนี้ บัลลัค ได้โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของประเทศเยอรมัน (Germany’s Footballer of the Year) ในปี 2002 และ รางวัลนักฟุตบอลกองกลางยอดเยี่ยมแห่งยุโรป ประจำปี 2002 จากสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) อีกด้วย ซึ่งตลอดเวลาที่เขาค้าแข้งที่นี่ เขาลงสนามไปกว่า 79 นัด และทำประตูได้ได้ถึง 27 ประตู
โด่งดังเป็นพลุแตก และคว้าแชมป์อย่างล้นหลามที่ บาร์เยิร์น มิวนิค
ในปี 2002 บัลลัค ได้ตัดสินใจย้ายมาค้าแข้งกับ สโมสรบาร์เยิร์น มิวนิค อีกหนึ่งทีมดังใน บุนเดสลีกา ของประเทศเยอรมัน ด้วยดีลที่มีค่าตัวกว่า 12.9 ล้านยูโร หรือประมาณ 460 ล้านบาท และเขาก็ได้ประสบความสำเร็จในการคว้า “แชมป์” ได้เสียที โดยเขาสามารถคว้าแชมป์ได้อย่างมากมายกับ สโมสรบาร์เยิร์น มิวนิค ได้แก่
• แชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัย ได้แก่ ฤดูกาล 2002-03 , ฤดูกาล 2004-05 และฤดูกาล 2005-06
• รองแชมป์บุนเดสลีกา ฤดูดาล 2003-04
• แชมป์เดเอฟเบ โพคาล 3 สมัย ในปี 2003 , 2005 และ 2006

โดยในฤดูกาล 2004-05 และฤดูกาล 2005-06 เขาสามารถพาทีมคว้า ดับเบิ้ลแชมป์ มาครอง ได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ในรายการ บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล จากการยิงประตู และ พาทีมคว้าแชมป์ได้อย่างล้นหลามมากมาย ทำให้เขาโด่งดังถึงขีดสุด จนได้รับการยกย่องให้เป็น มิดฟิลด์ที่ยอดเยี่ยมในระดับโลก เลยทีเดียว และยังได้รับรางวัลมากมาย ทั้ง รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของประเทศเยอรมนี (Germany’s Footballer of the Year) และได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีของฟีฟ่า (FIFA World Footballer of the Year) อีกด้วย
แต่ทว่าในศึก ฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพ เขาพาทีมไปได้ไกลแค่เพียง อันดับที่ 3 เท่านั้น ซึ่ง บัลลัค ลงสนามให้กับ ทัพเสือใต้ ทั้งหมด 107 นัด และเป็นมิดฟิลด์ที่สามารถทำประตูไปได้มากถึง 44 ประตูเลยทีเดียว

ข้ามน้ำข้ามทะเลไปโด่งดังอย่างต่อเนื่องที่ เชลซี
บัคลัค ย้ายสโมสรแบบข้ามน้ำข้ามทะเลมายัง ลีกอังกฤษ กับสโมสรชื่อดังแห่งเมืองหลวงอย่าง เชลซี ในเดือนพฤษภาคม ปี 2006 แบบไม่มีค่าตัว ซึ่งในปีนั้น เชลซี มี โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นผู้จัดการทีม และสโมสรได้รับการเทคโอเวอร์จาก โรมัน อับราโมวิช ซึ่งเป็นปีที่ เชลซี ได้รับการพัฒนาอย่างมากด้วย

ในฤดูกาลแรก 2006-07 เขาลงเล่นให้กับ เชลซี ครั้งแรกในศึก พรีเมียร์ลีก ในนัดที่พบกับ สโมสรแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในเดือนสิงหาคม 2006 และ ทำประตูให้กับ เชลซี เป็นครั้งแรก ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในนัดที่พบกับ สโมสรแวร์เดอร์ เบรเมน ซึ่งในฤดูกาล 2007-08 ถัดมา เขาสามารถเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ในรายการสำคัญ ได้ถึง 2 รายการ นั่นก็คือ แชมป์ลีก คัพ และ แชมป์เอฟเอ คัพ และเขาก็ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า จนต้องได้รับการผ่าตัดอีกด้วย

ก่อนที่ฤดูกาล 2008-09 ประวัติศาสตร์ “พระรอง(แชมป์)” จะซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง โดย เชลซี ในฤดูกาลนี้เป็นการคุมทีมของกุนซือคนใหม่ คือ อัฟราม แกรนท์ ซึ่งในรายการแรก ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก บัลลัค พาทีมไปถึงรอบชิงชนะเลิศ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่แล้ว ทัพปีศาจแดง ก็เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยการยิงลูกโทษ ต่อมาในรายการที่ 2 ลีก คัพ บัคลัค แห่ง เชลซี ก็ยังคงพ่ายแพ้ให้กับ ทอตนัม ฮอตสเปอร์ส ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แบบน่าเสียดายอีกครั้ง

ถัดมาในรายการที่ 3 ในศึก พรีเมียร์ลีก ที่ต้องทำการแข่งขันกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกครั้ง บัลลัค จาก ทัพสิงโตน้ำเงินคราม ก็ยังไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์มาได้ เป็นรองแชมป์ในอีกหนึ่งรายการ ต่อเนื่องด้วยศึก ยูโร 2008 บัคลัค พาทัพเยอรมัน เข้ารอบชิงชนะเลิศแข่งขันกับ ทัพสเปน แต่แล้ว พญาอินทรีเหล็ก ก็พ่ายแพ้ให้กับ กระทิงดุ ไปด้วยสกอร์ 1-0 ซึ่งทำให้ มิชาเอล บัลลัค ต้องเป็นรองแชมป์ไปทั้งหมด 4 รายการ ซึ่งเป็นการตอกย้ำฉายา พระรอง(แชมป์) ของเขาอีกครั้ง

แต่แล้วในฤดูกาล 2009-10 บัลลัค ได้ยิ้มอีกครั้ง เนื่องจากการคุมทีมโดยกุนซือคนใหม่อย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ได้ส่ง บัลลัค ลงเล่นเป็นตัวหลักมากขึ้น และในฤดูกาลนี้นั่นเองที่เขาสามารถพา เชลซี คว้า ดับเบิ้ลแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่สมปรารถนา โดยสามารถคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก และ แชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้อย่างสำเร็จ โดยในฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ บัลลัค ลงเล่นให้กับ ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากหมดสัญญาในเดือน มิถุนายน 2010 โดยเขาลงเล่นไปทั้งหมด 105 นัด และทำประตูไปได้ 17 ประตู

บั้นปลายนักฟุตบอลอาชีพของ มิชาเอล บัลลัค
ในปี 2010 หลังจากที่เขาหมดสัญญากับ เชลซี เขาได้กลับไปยังลีกบ้านเกิดอีกครั้ง โดยเซ็นสัญญาเป็นนักเตะกับ สโมสรไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น สโมสรที่เขาเคยประสบความสำเร็จในอดีตอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลา 2 ปี แต่แล้วอาการบาดเจ็บของเขา ก็ได้รบกวนการเล่นให้กับสโมสรอย่างหนัก จนทำให้เขาไม่สามารถลงเล่นได้อย่างเต็มที่

จนในที่สุด เดือนตุลาคม ปี 2012 มิชาเอล บัลลัค ก็ได้ประกาศยุติบทบาทการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ พร้อมทั้ง นักฟุตบอลของ ทีมชาติเยอรมัน ลง ด้วยวัย 36 ปี ปิดตำนานมิดฟิลด์จอมยิงหมายเลข 13 ลงไปในที่สุด
